ประวัติ
ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) มีภาระผูกพันเกี่ยวกับการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัย ในข้อ 25 ของอนุสัญญาการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (Convention on International Civil Aviation) ปี พ.ศ. 2487 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า รัฐภาคีต้องจัดให้มีมาตรการเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ในอาณาเขตของตน นอกจากนั้นในภาคผนวกที่ 12 แห่งอนุสัญญาดังกล่าว กำหนดให้รัฐภาคีจะต้องจัดให้มีหน่วยค้นหาและช่วยเหลือ (Search and Rescue Unit หรือ SRU) และศูนย์ประสานงานค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย (Rescue Co-ordination Center หรือ RCC) ปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งเป็นหน่วยกลางในการอำนวยการ และประสานงานเกี่ยวกับการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัยภายในเขตความรับผิดชอบของตน
สำหรับการค้นหาและช่วยเหลือทางทะเล ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคีขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) มีอนุสัญญาในการประชุมที่เกี่ยวข้องกับด้านความปลอดภัย ในทะเล และการค้นหาและช่วยเหลือเรือประสบภัย คือ การประชุม International Convention for the Safety of Life at Sea Convention (SOLAS) ปี พ.ศ. 2517 และการประชุม International Convention on Maritime Search and Rescue ปี พ.ศ. 2522 ซึ่งได้กำหนดให้เรือที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับเรือประสบภัยเมื่อได้ทราบข่าวให้ตรงไปช่วยเหลือ โดยเป็นประเพณีที่ปฏิบัติมานานของชาวเรือ และในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่เคยมีศูนย์ประสานงานที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาและช่วยเหลือทางทะเล ดังนั้น เมื่อมีเรือประสบภัย หน่วยงานที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจะออกทำการช่วยเหลือ ซึ่งได้แก่ กองทัพเรือ กองบังคับการตำรวจน้ำ กรมเจ้าท่า หรือหน่วยอื่น ๆ ฯลฯ โดยในบางครั้งอาจไม่มีการประสานงานร่วมกันทำให้การค้นหาและช่วยเหลือเรือประสบภัยเป็นไปอย่างสับสนและไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ รวมทั้งอาจจะเกิดอันตรายได้
ในปี พ.ศ. 2507 ได้มีการประชุมระดับเจ้าหน้าที่การขนส่งและการคมนาคมภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ประชุมได้มีการพิจารณาโครงการที่จะต้องดำเนินการเร่งด่วนทั้งหมดจำนวน 95 โครงการ ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกา โดย “องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Agency for International Development : US.AID)” ได้ส่งคณะเจ้าหน้าที่มาให้คำแนะนำเพื่อพิจารณาว่าควรจะดำเนินการโครงการใดก่อนและหลัง ในที่สุดได้พิจารณาให้โครงการค้นหาและช่วยเหลือของประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศไทย เป็นโครงการอันดับแรกที่จะต้องดำเนินการ หลังจากนั้นรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ส่งคณะเจ้าหน้าที่ US. SAR STUDY TEAM เดินทางไปศึกษาความต้องการด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย ในประเทศดังกล่าว และได้ทำรายงานซึ่งเรียกว่า SAR in South East Asia Program For Indonesia, Malaysia, Singapore and Thailand ผ่านกระทรวงการขนส่งของสหรัฐอเมริกา โดยในรายงานดังกล่าว ได้เสนอแนะประเทศไทยให้รวมกิจการด้านการค้นหาและช่วยเหลือทั้งทางอากาศและทางทะเลเข้าด้วยกัน และให้อยู่ภายใต้การประสานงานของหน่วยเดียว คือ มีศูนย์ประสานงานของการค้นหาและช่วยเหลือทั้งทางอากาศยานและทางเรือขึ้นที่กรมการบินพาณิชย์ (ในขณะนั้น) ในการนี้ ประเทศไทยได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าว และได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2521 ให้จัดตั้งองค์กรเพื่อการค้นหาและช่วยเหลือแห่งชาติ โดยรวมกิจการค้นหาและช่วยเหลือทางอากาศยานและทางเรือไว้ด้วยกัน ทั้งนี้สามารถเรียกระดมสิ่งอำนวยความสะดวกในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัยเท่าที่มีอยู่ของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องมาใช้เป็นประโยชน์ในภารกิจการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย โดยปฏิบัติตามความตกลงว่าด้วยระเบียบปฏิบัติในการร่วมมือประสานงานการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย พ.ศ. 2520 และได้เปลี่ยนชื่อจากคณะกรรมการประสานงานค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือประสบภัยแห่งชาติมาเป็น “คณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย” โดยได้มีการแก้ไขปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติให้ครบถ้วนและสมบูรณ์มากขึ้น ประกอบด้วยรองปลัดกระทรวงคมนาคม (ด้านอำนวยการ) เป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมท่าอากาศยานและอธิบดีกรมเจ้าท่า เป็นรองประธานกรรมการ และผู้แทนจากกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมอุตุนิยมวิทยา กรมการปกครอง กรมศุลกากร กรมประมง กรมฝนหลวงและการบินเกษตร สำนักงบประมาณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมท่าอากาศยาน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นกรรมการ โดยมีหัวหน้ากลุ่มงานค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัยเป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้แทนกรมเจ้าท่าเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ (มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559)
ต่อมาในปี พ.ศ. 2562 กระทรวงคมนาคมได้พิจารณาคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีและเห็นควรยุบเลิก 1 คณะ คือ คณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย เนื่องจาก มาตรา 64/21 ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติขึ้นใหม่ เรียกโดยย่อว่า “กชย.” โดยมีองค์ประกอบคณะกรรมการทั้งสิ้น 13 คน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการ ให้ผู้อำนวยการ กชย. ทำหน้าที่เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้ปลัดกระทรวงคมนาคม โดยข้อเสนอของผู้อำนวยการ กชย. แต่งตั้งข้าราชการ
ในสำนักงาน กชย. จำนวนไม่เกินสองคน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ (มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562)
องค์ประกอบคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ